Our World in 2050 ส่อง 3 ปัจจัยพลิกสมการโลก
ลองจินตนาการถึงเช้าวันหนึ่งในอนาคต เมื่อคลื่นความร้อนรุนแรงในยุโรปทำให้การส่งออกข้าวสาลีหยุดชะงัก ราคาสินค้าเกษตรทั่วโลกพุ่งทะยาน ก่อให้เกิดความไม่พอใจและการประท้วงในเอเชีย ขณะเดียวกันการโจมตีทางไซเบอร์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ทำให้โครงข่ายพลังงานในอเมริกาเหนือล่มชั่วคราว เหตุการณ์เหล่านี้อาจฟังดูเหมือนนิยายวิทยาศาสตร์ แต่แท้จริงคือภาพสะท้อนของสิ่งที่นักวิชาการเรียกว่า “Polycrisis” หรือ “วิกฤตซ้อนวิกฤต” เมื่อปัญหาหลากหลายด้านเชื่อมโยงกันและขยายผลกระทบจนไม่อาจรับมือแบบแยกส่วนได้ และจากวันนี้จนถึงปี 2050 โลกจะถูกกำหนดด้วยแรงสั่นสะเทือนที่ยากจะคาดเดา
ประชากรและโอกาสที่ไม่เท่ากัน
ในปี 2050 โลกจะมีประชากรราว 9.7 พันล้านคน แต่การกระจายไม่สมดุล ยุโรปกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัย แรงงานหดตัว และต้องแบกรับภาระบำนาญกับสาธารณสุขมหาศาล เกาหลีใต้คาดว่าอายุมัธยฐานจะสูงถึง 56.7 ปี ขณะที่แอฟริกามีประชากรเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว และอินเดียอาจจะยิ่งแซงหน้าจีนไปไกลในแง่จำนวนประชากร หลังจากที่แซงไปแล้วตั้งแต่ปี 2023 ประเทศหนุ่มสาวอย่างไนเจอร์ซึ่งมีอายุมัธยฐานเพียง 17.7 ปี จึงมีศักยภาพในการเก็บเกี่ยว “โอกาสทางประชากร” หากสามารถลงทุนด้านการศึกษาและสร้างงานให้เยาวชนได้สำเร็จ
วิกฤต 3 ประการของโลก
การมีประชากรเกือบ 1 หมื่นล้านคนย่อมนำมาซึ่งความต้องการพลังงาน อาหาร และน้ำที่สูงขึ้น จนระบบนิเวศอาจไม่สามารถรองรับได้ ปัญหานี้ถูกเรียกว่า Triple Planetary Crisis ซึ่งรวมถึงภาวะโลกร้อน ความขาดแคลนทรัพยากร และการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ หากยังคงเดินตามนโยบายปัจจุบัน อุณหภูมิเฉลี่ยอาจสูงขึ้นแตะถึง 2.8 องศาเซลเซียสในศตวรรษนี้ ส่งผลให้ประชากรประมาณ 216 ล้านคนทั่วโลกอาจต้องอพยพ เนื่องจากระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น ความแห้งแล้ง และความล้มเหลวในการเพาะปลูก ภายใต้เงื่อนไขนี้โลกจำเป็นต้องเพิ่มการผลิตอาหารอีก 56% ใช้น้ำเพิ่มขึ้น 32% และยุติการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตที่กำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เหตุผลสำคัญคือ มากกว่าครึ่งของ GDP โลกขึ้นอยู่กับบริการจากธรรมชาติ ตั้งแต่การผสมเกสรพืช ไปจนถึงพื้นที่ชุ่มน้ำที่ช่วยป้องกันน้ำท่วม หากระบบนิเวศล่มสลาย เศรษฐกิจโลกก็ไม่อาจยืนอยู่ได้เช่นกัน
สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรที่ตึงเครียด
แม้โลกเร่งผลักดันพลังงานหมุนเวียน แต่เชื้อเพลิงฟอสซิลก็ยังคงถือครองสัดส่วนหลักจนถึงปี 2050 หากไม่เร่งเปลี่ยน มลพิษก๊าซเรือนกระจกจะยังคงเพิ่มขึ้น และการบรรลุเป้าหมายสุทธิเป็นศูนย์อาจต้องเลื่อนไปถึงปี 2100 ความหลากหลายทางชีวภาพก็ยังคงถดถอย โดยสิ่งมีชีวิตบนบกจะหายไปราว 1 ใน 3 แม้กรอบข้อตกลง Kunming-Montreal ที่ตั้งเป้าปกป้องอย่างน้อย 30% ของผืนดินและท้องทะเลภายในปี 2030 จะถือเป็นก้าวสำคัญก็ตาม ขณะเดียวกันความมั่นคงด้านแร่หายากจะทวีความสำคัญ หลายประเทศเร่งกระจายแหล่งจัดหา รวมถึงเกิดการถกเถียงเรื่องการขุดแร่ใต้ทะเลลึกที่ยังไม่ชัดเจนเรื่องผลกระทบต่อระบบนิเวศ
สมการเศรษฐกิจโลกที่พลิกผัน
ปี 2050 การครอบงำของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วอย่าง G7 (สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี ญี่ปุ่น แคนาดา อิตาลี) จะถูกท้าทายโดยการก้าวขึ้นมาของกลุ่มเศรษฐกิจเกิดใหม่ E7 (จีน อินเดีย อินโดนีเซีย บราซิล รัสเซีย เม็กซิโก ตุรกี) ซึ่งคาดว่าจะเติบโตเร็วกว่า 2 เท่าภายในกลางศตวรรษ E7 อาจครองเกือบครึ่งหนึ่งของ GDP โลก ขณะที่ G7 จะเหลือเพียงราว 20% จีน อินเดีย และอินโดนีเซีย จะติดอันดับ 4 เศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลกแทนที่หลายประเทศตะวันตก สะท้อนการพลิกผันครั้งใหญ่ของระเบียบเศรษฐกิจ ที่เชื่อมโยงกับแรงกดดันด้านประชากร สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยี
อนาคตปี 2050 ไม่ได้ถูกกำหนดด้วยโชคชะตา แต่ด้วยการตัดสินใจในวันนี้ ภาคธุรกิจต้องมองไกลกว่ากำไรระยะสั้น ลงทุนด้านนวัตกรรมที่ยั่งยืน สร้างห่วงโซ่อุปทานที่แข็งแกร่ง และยึดโยงกับคุณค่าทางสังคม ขณะที่คนรุ่นใหม่ต้องใช้ความรู้และการลงมือทำเพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในทุกระดับ เพื่อร่วมกันสร้าง “ฉันทามติใหม่ของสังคม” ที่ใส่ใจทั้งทรัพยากรโลกและผู้คนไปพร้อมกัน