อินเทอร์เน็ตเริ่มลืมสิ่งที่มันเคยจำ แบรนด์ใหญ่จึงต้องลงทุนเก็บอดีต สร้างมูลค่าอนาคต
ในโลกที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและเรื่องเล่า การอนุรักษ์ไม่ได้เป็นแค่หน้าที่ของนักประวัติศาสตร์หรือหอจดหมายเหตุอีกต่อไป แต่มันกลายเป็นกลยุทธ์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญ เพราะสิ่งที่เรารักษาไว้ได้ ไม่ว่าจะเป็นภาพถ่าย เพลง บทความ หรือความทรงจำของแบรนด์ สามารถแปรรูปเป็นคุณค่าใหม่ สร้างคุณค่าทางเศรษฐกิจ เสริมอัตลักษณ์และองค์ความรู้
ในขณะที่โลกหมุนเร็ว ข้อมูลจำนวนมหาศาลกลับหายไปแบบไร้ร่องรอย Pew Research Center รายงานว่าเว็บเพจที่เผยแพร่ระหว่างปี 2013 - 2023 สูญหายไปแล้วกว่า 25% ซึ่งชี้ให้เห็นว่า ข้อมูลที่เราคิดว่า "เก็บไว้อย่างดี" บนอินเทอร์เน็ตนั้น แท้จริงแล้วเปราะบางกว่าที่คิด ความเปราะบางนี้ยิ่งชัดเจนเมื่อมองผ่านการแบนหรือจำกัดแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียขนาดใหญ่ เช่น TikTok ที่ถูกห้ามใช้งานในอินเดียและบางรัฐของสหรัฐฯ รวมถึงออสเตรเลียที่เพิ่งประกาศจำกัดอายุขั้นต่ำผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียไว้ที่ 16 ปี ขณะเดียวกัน X (Twitter เดิม) ก็ถูกระงับการให้บริการในบราซิลในปี 2024 หลังไม่ปฏิบัติตามกฎหมายท้องถิ่น เหตุการณ์เหล่านี้ล้วนทำให้เนื้อหาที่ผู้ใช้อัปโหลดจำนวนมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นวิดีโอ บทสนทนา หรือข้อมูลส่วนบุคคล หายไปในพริบตาโดยไม่มีการสำรอง ทำให้บทบาทของอินเทอร์เน็ตในฐานะ “พื้นที่เก็บความทรงจำร่วมของโลก” ถูกตั้งคำถามอย่างหนักในยุคที่ทุกอย่างกลายเป็นดิจิทัล กลับไม่การันตีถึงความยั่งยืน
สำหรับแบรนด์แล้ว การพึ่งพาแพลตฟอร์มดิจิทัลเพียงช่องทางเดียวไม่เพียงพออีกต่อไป โลกที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วและไม่แน่นอนทำให้ธุรกิจต้องเตรียมแผนสำรองเพื่อรับมือกับความเสี่ยง ทั้งการแบนแพลตฟอร์ม การถูกโจมตีทางไซเบอร์ หรือแม้แต่การล่มของระบบ กลยุทธ์ “สำรองเพื่อรอด” (Diversify to Survive) จึงกลายเป็นแนวคิดสำคัญที่ช่วยให้แบรนด์มีภูมิคุ้มกันในยุคที่ข้อมูลหายไปได้ทุกวินาที แบรนด์ควรจัดวางโครงสร้างเนื้อหาให้หลากหลาย กระจายไปยังช่องทางที่ควบคุมได้ ขณะเดียวกัน หลายแบรนด์ก็เริ่มหันมาใช้กลยุทธ์ “จับต้องได้ จดจำได้” (Tangible Memory Strategy) เพื่อเปลี่ยนความทรงจำให้อยู่ในรูปแบบของสินค้าทางวัฒนธรรม เช่น การผลิต Zine สไตล์เรโทร สินค้ารุ่นสะสม หรือบรรจุภัณฑ์ที่ออกแบบมาให้เก็บไว้ได้ ตัวอย่างที่น่าสนใจคือกล้องฟิล์ม Pentax 17 ที่แบรนด์ Ricoh นำกลับมาผลิตในปี 2024 ซึ่งสามารถขายหมดภายใน 15 นาทีหลังเปิดตัว สะท้อนว่า ความทรงจำ หากจับต้องได้ ย่อมสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ และความผูกพันที่ยั่งยืนระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภค
ภาพ: variety.com/2024/digital/news/mtv-news-articles-internet-archive-wayback-machine-1236058997
อีกกรณีที่น่าสนใจคือ MTV News ซึ่งถูกลบเนื้อหาทั้งหมดในปี 2024 โดยไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้า ส่งผลให้บทความกว่า 460,000 ชิ้นที่เคยบันทึกวิวัฒนาการของดนตรี การเมือง และวัฒนธรรมร่วมสมัยหายไปจากอินเทอร์เน็ตทันที โชคดีที่องค์กรอย่าง Internet Archive เข้าไปช่วยเก็บสำเนาไว้ ทำให้ข้อมูลเหล่านี้ยังสามารถเข้าถึงได้ผ่าน Wayback Machine กลยุทธ์นี้สะท้อนแนวคิด“Preservation Partnership” ซึ่งเปิดโอกาสให้แบรนด์หรือองค์กรต่าง ๆ ร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญด้านการเก็บข้อมูล เพื่อปกป้องมรดกที่มีคุณค่าทั้งในเชิงสังคมและเชิงแบรนด์ โดยไม่จำเป็นต้องทำเองทั้งหมด และไม่ใช่แค่ระดับองค์กรเท่านั้น หลายประเทศเองก็เริ่มตระหนักถึงพลังของการอนุรักษ์ เช่น ประเทศ Aruba ที่ร่วมกับ Internet Archive เพื่อเก็บเอกสารทางวัฒนธรรมกว่า 100,000 ชิ้น และบาหลีที่สามารถอนุรักษ์วรรณกรรมโบราณที่เขียนบนใบลานได้มากถึง 90% โครงการเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียง “งานเก็บของเก่า” แต่คือการสร้างสินทรัพย์ทางวัฒนธรรมที่ต่อยอดได้ในเศรษฐกิจการท่องเที่ยว การศึกษา และสินค้าเชิงวัฒนธรรม ที่ช่วยยกระดับคุณค่าทางสังคมและเศรษฐกิจในระยะยาว
อย่างไรก็ดี ความท้าทายสำคัญที่ยังขวางทางการอนุรักษ์ในโลกดิจิทัลก็คือประเด็นลิขสิทธิ์ ซึ่งซับซ้อนและเปราะบางมากกว่าที่หลายคนคาดคิด ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ Spotify ที่ลงทุนกับสิทธิ์เพลงมากกว่า 9 พันล้านดอลลาร์ในปีเดียว สะท้อนให้เห็นว่า IP ได้กลายเป็นสนามแข่งขันที่ดุเดือดและมีเดิมพันสูง แม้จะได้รับอนุญาตจากผู้สร้างเนื้อหาเดิม แต่อาจยังมีเจ้าของสิทธิ์รายอื่นที่สามารถเรียกร้องหรือจำกัดการนำไปเผยแพร่หรือเก็บถาวรในที่สาธารณะได้