ทรัมป์กับสงครามภาษีรอบใหม่: เมื่ออเมริกาพยายามดึงฮอลลีวูดกลับบ้าน

“อุตสาหกรรมภาพยนตร์ของเราถูกขโมยไปจากสหรัฐอเมริกา เหมือนการขโมย ‘ลูกกวาดจากมือเด็กทารก’ ข้อความของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ บน Truth Social เมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา มาพร้อมคำประกาศว่าเขาจะผลักดัน ภาษีศุลกากร 100% สำหรับภาพยนตร์ที่สร้างนอกประเทศ...มาตรการที่เขาอ้างว่าเป็นทางออกของปัญหาที่ “ยืดเยื้อและดูเหมือนไม่มีวันสิ้นสุด”
ถ้อยความดังกล่าวเป็นความพยายามครั้งล่าสุดจากทรัมป์ในการพลิกฟื้นอุตสาหกรรมฮอลลีวูดให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง หลังจากที่แผนการเก็บภาษีศุลกากร 100% สำหรับภาพยนตร์ที่สร้างนอกสหรัฐฯ ถูกเสนอต่อชาวโลกครั้งแรกเมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ในครั้งนั้นเขาโพสต์ว่า “อุตสาหกรรมภาพยนตร์ในอเมริกากำลัง ‘ตายลงอย่างรวดเร็ว’ พวกเราต้องการให้ภาพยนตร์กลับมาถูกสร้างในอเมริกาอีกครั้ง!”
“นอกจากช่วงแรกที่ทุกคนแตกตื่นว่า ‘อ้อ เขาพูดแบบนี้อีกแล้ว’ คนส่วนใหญ่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับมันมากเท่าครั้งก่อน” ลี สโตน (Lee Stone) หุ้นส่วนจากสำนักงานกฎหมาย Lee & Thompson ในลอนดอน ซึ่งเคยร่วมงานกับซีรีส์ของ Netflix ที่คว้ารางวัล Emmy เรื่อง Adolescence กล่าว

Photo Credti: https://unsplash.com/photos/the-hollywood-sign-stands-on-a-hillside-8pCKEFjSJwc
คำประกาศขึ้นภาษีจากปากผู้นำสหรัฐ ถูกเอ่ยออกมาระลอกแล้วระลอกเล่าจนแต่ละภาคส่วนที่ถูกกล่าวถึงเริ่มมีภูมิคุ้มกันเป็นของตัวเอง
อเล็กซานเดอร์ โลแวร์เด (Alexander LoVerde) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ ProdPro บริษัทวิจัยอุตสาหกรรมภาพยนตร์กล่าวว่า “เราไม่พบข้อมูลใดที่บ่งชี้ว่า สตูดิโอเลือกกลับมาถ่ายทำในสหรัฐฯ มากขึ้นเพราะความกังวลเรื่องภาษีศุลกากร”
ดูเหมือนว่า อุตสาหกรรมฮอลลีวูดก็มีภูมิคุ้มกันกับคำประกาศลักษณะนี้เช่นเดียวกัน…
จริงอยู่ที่สถานการณ์ของอุตสาหกรรมฮอลลีวูดไม่ได้สวยหรู เอ็มม่า ซอนเดอร์ (Emma Saunders) นักข่าวจาก BBC รายงานว่า สตูดิโอฮอลลีวูดใช้เงินไป 11.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในการผลิตภาพยนตร์ช่วงไตรมาสที่สองของปี 2024 ซึ่งลดลงถึง 20% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2022 เนื่องจากสตูดิโอยังคงพยายามลดต้นทุน เพื่อฟื้นตัวจากความสูญเสียที่เกิดขึ้นในช่วงโควิด
สัญญาณการฟื้นตัวที่เริ่มปรากฏขึ้นนั้นถูกฉุดรั้งอย่างหนักจากผลพวงการนัดหยุดงานของนักแสดงและนักเขียนบทในปี 2023 และจากนั้น เหตุไฟป่าครั้งใหญ่เมื่อต้นปีนี้ ก็ได้ซ้ำเติมสถานการณ์ให้ย่ำแย่ลงไปอีก

Photo Credit: https://unsplash.com/photos/people-standing-on-green-grass-field-during-daytime-dcY9FHwhXlk
ทว่า จากรายงานของ ProdPro สหรัฐฯ ยังคงเป็นศูนย์กลางการผลิตภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีมูลค่าการใช้จ่าย 16.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม สตูดิโอฮอลลีวูดและบริการสตรีมมิงกลับใช้เงินมากกว่านั้นถึง 24.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในการผลิตภาพยนตร์และรายการโทรทัศน์นอกสหรัฐฯ ในช่วงเวลาเดียวกัน เนื่องจากพวกเขาสามารถใช้ประโยชน์จากสิทธิประโยชน์ทางภาษี แรงงานที่ราคาถูกกว่า และสตูดิโอถ่ายทำระดับโลก
ตัวอย่างภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ที่ผ่าน ๆ มา ที่ได้เลือกถ่ายทำนอกสหรัฐฯ เช่น Deadpool & Wolverine (Shawn Levy, 2024), Wicked (Jon M. Chu, 2024) and Gladiator II (Ridley Scott, 2024) รวมถึงในบางกรณี พวกเขาก็เลือกถ่ายทำต่างแดนเพราะฉากหลังที่แปลกใหม่และน่าตื่นเต้น ตัวอย่างเช่น ใครจะลืมได้ว่า ทอม ครูซ เคยปีนตึก เบิร์จคาลิฟา ที่ดูไบ ในภาพยนตร์เรื่อง Mission: Impossible - Ghost Protocol (Brad Bird, 2011)
และอีกปัจจัยสำคัญที่ส่งให้สตูดิโอฮอลลีวูดเลือกถ่ายทำในต่างแดนก็เพราะการกระจายงานผลิตภาพยนตร์ไปในหลายพื้นที่ทั่วโลกช่วยเร่งกระบวนการผลิตให้เร็วขึ้นได้ ทำให้ภาพยนตร์เสร็จสมบูรณ์แบบที่เร็วกว่าและประหยัดต้นทุนกว่าเดิม
ไมค์ ซีมอร์ (Mike Seymour) ผู้เชี่ยวชาญด้านวิชวลเอฟเฟ็กต์ และอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยซิดนีย์ กล่าวว่า “ในภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่ มันเป็นเรื่องปกติมากที่บางส่วนของงานจะถูกส่งมาทำที่ออสเตรเลีย ขณะที่อีกส่วนอาจไปทำที่นิวซีแลนด์ ลอนดอน หรือที่อื่น ๆ” เขากล่าวเสริมต่อว่า “บางครั้งภาพยนตร์หนึ่งเรื่องถูกทำงานอยู่ตลอด 24 ชั่วโมงต่อวัน จริง ๆ เพราะทีมงานในแต่ละประเทศทำงานต่อเนื่องตามไทม์โซนที่แตกต่างกัน”
การประกาศการเก็บภาษีจากทรัมป์ในครั้งนี้ จึงไม่ต่างจากหลายระลอกที่ผ่านมา ที่แสดงให้เห็นถึง “คำถามมากกว่าคำตอบ” ที่นโยบายคลอดออกมาเพื่อแก้ไข ที่สำคัญก็คือ ในยุคที่เป็นเรื่องยากขึ้นเรื่อย ๆ ในการจะนิยามว่าอะไรคือ “ภาพยนตร์ที่สร้างในอเมริกา” หากภาพยนตร์เรื่องนั้นถ่ายทำในสหรัฐฯ แต่มีนักแสดง ผู้กำกับ หรือเงินทุนมาจากต่างประเทศในลักษณะของการร่วมทุนสร้าง นโยบายภาษีนี้จึงสะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของระบบนิเวศภาพยนตร์ระดับโลก ที่อุตสาหกรรมซึ่งเติบโตบนความร่วมมือข้ามพรมแดนสามารถสั่นคลอนได้ง่ายเพียงใด

Photo Credit: https://unsplash.com/photos/a-golden-trump-looks-at-planet-earth-emFUQHEYJmU
เอริก เด็กแกนส์ (Eric Deggans) นักวิจารณ์ภาพยนตร์จากสถานีวิทยุ NPR เตือนว่า หากมีการบังคับใช้มาตรการดังกล่าวจริง อาจยิ่งสร้างความเสียหายให้แก่อุตสาหกรรมภาพยนตร์มากขึ้น
เขากล่าวกับ BBC ว่า ประเทศอื่น ๆ อาจตอบโต้ด้วยการเก็บภาษีศุลกากรจากภาพยนตร์อเมริกันเช่นกัน ซึ่งจะทำให้ “ภาพยนตร์เหล่านี้ทำกำไรในตลาดต่างประเทศได้ยากขึ้น นั่นอาจนำไปสู่สถานการณ์ที่ภาษีศุลกากรของอเมริกา สร้างผลเสียมากกว่าผลดี”
ท่ามกลางม่านหมอกที่คลุมเครือในรายละเอียดของการจัดเก็บ ผู้บริหารสตูดิโอบางส่วนใช้โอกาสนี้ในการส่งเสียงเรียกร้องสิ่งที่ต้องการ นั่นคือ มาตรการจูงใจทางภาษีในระดับชาติ ขณะเดียวกัน สิ่งที่ควบคู่กันไปก็คือ ร่างกฎหมายที่ได้รับการสนับสนุนจากทั้งสองพรรคในสภาคองเกรส ซึ่งมีชื่อว่า CREATE Act ได้ถูกเสนอเข้าสู่สภาคองเกรสของสหรัฐฯ เมื่อช่วงต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยร่างกฎหมายนี้มีเป้าหมายที่จะขยายระยะเวลาการลดหย่อนภาษีสำหรับการผลิตภาพยนตร์ในสหรัฐฯ ที่จะหมดอายุในเดือนธันวาคมนี้ และเพิ่มเพดานของค่าใช้จ่ายที่สามารถนำมาลดหย่อนได้
ถึงแม้ว่า ผู้คนในแวดวงอุตสาหกรรมภาพยนตร์ยังคงเดินหน้าผลิตภาพยนตร์ตามเดิม ผู้เชี่ยวชาญหลายคนก็ออกมาเตือนและยอมรับว่า หากทรัมป์เดินหน้าแผนการนี้ต่อไป ก็จะเกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการจ้างงานในศูนย์กลางการผลิตภาพยนตร์ทั่วโลก
นิโคลัส ไซมอน (Nicholas Simon) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท Indochina Productions ในกรุงเทพฯ ซึ่งเคยร่วมงานในผลงาน The White Lotus ซีซัน 3 กล่าวว่า สิ่งที่ทำให้คำพูดของทรัมป์น่ากังวลคือ ความคาดเดาไม่ได้ของเขานั่นเอง
“ครั้งที่แล้ว (ต้นเดือนพฤษภาคม) ทุกอย่างกลับเข้าสู่ภาวะปกติอย่างรวดเร็ว ภายในเวลาราวหนึ่งสัปดาห์ แต่ถ้าครั้งนี้ ทรัมป์ตั้งเป้าจัดเก็บภาษีกับการผลิตภาพยนตร์จริง ๆ มันจะทำให้ทั้งอุตสาหกรรมตื่นตระหนก และเกิดผลกระทบตามมาจริง ๆ ...แต่ถ้ามันเป็นเพียง ‘ลมปาก’ แบบที่เขามักทำตามปกติ มันก็คงจางหายไปอย่างรวดเร็ว”
นี่คืออีกครั้งที่ความตึงเครียดระหว่าง National Economic Strategy และ Global Creative Collaboration ปะทะกันอย่างรุนแรง และเป็นสัญญาณชัดเจนว่า อนาคตของอุตสาหกรรมสร้างสรรค์กำลังเดินเข้าสู่ยุคแห่งความซับซ้อนใหม่ที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด
ที่มา:
บทความ “What impact might Trump's Hollywood tariffs plan have?” โดย Emma Saunders
บทความ “Trump renews threat to impose 100% tariffs on non-US made movies” โดย Pritti Mistry
บทความ “Trump threatens tariffs on foreign films: What to know” โดย Mason Leib
บทความ “Trump’s New Movie Tariff Threat Rattles Global Production Hubs” โดย Scott Roxborough
บทความ “Global film industry shrugs off renewed Trump movie tariff threat” โดย Paul Sandle, Michael Kahn, Byron Kaye และ Dawn Chmielewski
เรื่อง: คณิศร สันติไชยกุล
TAGS: #Creative Economy Update