ลบไม่ได้ช่วยให้ลืม? สำรวจทางเลือกในการจัดการข้อมูลส่วนตัวบน Generative AI

ทุกวันนี้ การให้ใครสักคนดู “ประวัติแชตกับ AI” อาจน่ากังวลยิ่งกว่าการขอดูแชตในโซเชียลมีเดียเสียอีก
วันที่ 30 พฤศจิกายน 2025 คือวาระครบรอบ 3 ปีเต็มของ ChatGPT ปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์ หรือ Generative AI ที่เปลี่ยนโลกทั้งใบจากบริษัท OpenAI โดยมีอัตราเติบโตเร็วที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์อินเทอร์เน็ต และมีทั้งบทบาทในฐานะ "ผู้ช่วยงาน" และ "ที่ปรึกษาในชีวิตประจำวัน" ของหลายร้อยล้านคนทั่วโลก
“ปัจจุบันมีนักพัฒนากว่า 4 ล้านคน ที่สร้างสรรค์ผลงานโดยใช้เทคโนโลยีของ OpenAI และมีผู้ใช้งาน ChatGPT มากกว่า 800 ล้านคนต่อสัปดาห์ ขอบคุณทุกคน พวกคุณทำให้ AI เปลี่ยนจากสิ่งที่ผู้คนแค่เล่นสนุก กลายเป็นสิ่งที่ผู้คนใช้สร้างสรรค์ผลงานทุกวันจริง ๆ” แซม อัลต์แมน (Sam Altman) CEO ของ OpenAI กล่าวใน OpenAI Dev Day 2025 งานประชุมประจำปีของ OpenAI สำหรับนักพัฒนา เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
เป็นระยะเวลามากกว่า 1,000 วันที่ ChatGPT เปิดให้บริการ ข้อมูลจากทั่วทุกมุมโลกถูกป้อนเข้าสู่ระบบไม่ขาดสาย ตั้งแต่ปัญหาระดับชาติจนถึงเรื่องส่วนตัวที่สุดของแต่ละบุคคล คำถามง่าย ๆ อย่างพรุ่งนี้ฝนจะตกไหม? ฉันจะกินอะไรดี? ไปจนถึง ฉันจะผ่านวันพรุ่งนี้ไปได้อย่างไร?

Photo Credit: https://unsplash.com/photos/a-person-holding-a-cell-phone-in-their-hand-Aj7cDaR6QXs
ผู้ใช้จำนวนมาก เช่น เพจ แฮรร์ริงตัน (Page Harrington) ให้สัมภาษณ์กับ USA Today ว่า ตอนนี้ ChatGPT กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของเธออย่างแยกไม่ออกไปแล้ว และประวัติแชตของเธอกับ AI ก็กลายเป็น “แผนที่ชีวิต” ของตัวเอง ซึ่งสะท้อนความคิด ความเครียด และปัญหาที่ต้องเจอในแต่ละวัน
“มันตลกมากเวลาเปิดดูประวัติแชตของฉัน เพราะมันแสดงให้เห็นเลยว่าสมองของฉันเป็นยังไง ฉันใช้ ChatGPT เพื่อเอาไอเดียที่มีอยู่แล้ว มาพัฒนาให้ดีขึ้น มันเผยให้เห็นการคิดวนซ้ำ ๆ ของฉันในแต่ละวันอย่างชัดเจน” เพจกล่าว
ChatGPT ถูกพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ซึ่งรวมถึง Generative AI จากบริษัทอื่น ๆ เช่นกัน ที่พัฒนาบริการของตัวเองให้ทำงานได้หลากหลายตามคำสั่งไม่กี่บรรทัดที่ป้อนเข้าไป จนหลายคนใช้มันดั่งเลขาส่วนตัว ทั้งช่วยเขียนอีเมล ช่วยวางแผนกลยุทธ์การตลาด ไปจนถึงช่วยจัดกระเป๋าเดินทางไปต่างประเทศ ตัวอย่างเหล่านี้คือหลักฐานว่า Generative AI ได้กลายเป็นอีกหนึ่งใน “ปัจจัยพื้นฐานของชีวิตดิจิทัล”

Photo Credit: https://unsplash.com/photos/a-person-holding-a-smart-phone-in-their-hand-NOrCov89Xm0
แต่เมื่อใช้มากขึ้น… ความกังวลก็เพิ่มขึ้น
ประเด็นนี้ตามมาด้วยข้อกังวลเกี่ยวกับนโยบายความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ ความท้าทายใหม่ ๆ ต่อความเป็นส่วนตัวได้แก่
- ข้อมูลส่วนบุคคลของเราจะเป็นส่วนหนึ่งของข้อมูลที่ใช้ฝึกโมเดลหรือไม่?
- ข้อความที่เราป้อนให้ระบบจะถูกส่งต่อให้หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายหรือไม่?
- แชตบอตจะเชื่อมโยงข้อมูลจากชีวิตออนไลน์ด้านต่าง ๆ ของเรา และเปิดเผยให้ใครก็ตามหรือเปล่า?”
เจสสิก้า คามิลเลรี-เชลตัน (Jessica Camilleri-Shelton) ครีเอเตอร์สาย AI จากสหราชอาณาจักรกล่าวว่า “เราลืมไปแล้วว่าเรากำลังแชร์ข้อมูลกับมันมากแค่ไหน ผู้คนจำนวนมากเหมือนอยู่ในภวังค์เกี่ยวกับสิ่งที่เครื่องมือนี้เป็นตัวแทน และวิธีที่พวกเขามีปฏิสัมพันธ์กับมัน สิ่งที่พวกเขาแชร์ และประวัติการใช้งานที่ถูกสร้างขึ้นจากสิ่งเหล่านั้น คือภาพสะท้อนลึกซึ้งและเปิดเผยตัวตนของพวกเขาอย่างชัดเจน”

Photo Credit: https://unsplash.com/photos/a-piece-of-metal-with-a-button-on-it-4nBaO2Y4IzQ
แล้วข้อมูลแชตถูกเก็บไว้อย่างไร?
สำหรับการจัดเก็บประวัติการแชตของผู้ใช้ ตามที่ระบุไว้ในเว็บไซต์ของ OpenAI แชตจะถูกบันทึกไว้ในระบบจนกว่าเราจะกดลบทิ้ง หลังจากลบออกจากบัญชี ข้อมูลจะยังอยู่ในระบบสูงสุด 30 วัน ก่อนลบทิ้งถาวร เว้นแต่จะมีกรณีพิเศษที่ต้องเก็บประวัติแชตไว้ เช่นกรณีที่หนังสือพิมพ์ The New York Times ฟ้องร้อง OpenAI ในปี 2023 โดยกล่าวหาว่า OpenAI ใช้บทความของหนังสือพิมพ์เพื่อฝึกโมเดล AI ของตัวเอง ซึ่งในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ผู้พิพากษาได้สั่งให้ OpenAI ต้องเก็บประวัติการสนทนาบางส่วนเอาไว้ (คำสั่งดังกล่าวได้สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 26 กันยายนที่ผ่านมา) ซึ่งหนังสือพิมพ์และโจทก์รายอื่น ๆ ได้ร้องขอเนื่องจากให้เหตุผลว่า ข้อมูลผู้ใช้ ChatGPT อาจมีหลักฐานที่สนับสนุนข้อกล่าวหาของตนได้
ทำให้เห็นว่า แม้ผู้ใช้จะลบข้อมูลแล้ว แต่ AI อาจยังต้องเก็บไว้ชั่วคราวตามกฎหมายหรือข้อกำหนดทางคดี
ว่ากันที่จริง ความปลอดภัยในข้อมูลส่วนตัวเป็นเรื่องที่มนุษย์เจอมาโดยตลอดหลังจากอินเทอร์เน็ตเข้าครอบงำชีวิต จากโซเชียลมีเดียถึงประวัติการค้นหา แต่กรณีของ Generative AI ต่างออกไป เพราะปริมาณข้อมูลมหาศาลต่อวันที่มันได้รับ นักวิจัยจากสถาบัน Stanford University Institute for Human-Centered Artificial Intelligence (Stanford HAI) กล่าวว่า “ทุกวันนี้ ผู้ใช้ผลิตภัณฑ์หรือบริการออนไลน์แทบไม่สามารถหลีกเลี่ยงการถูกติดตามและสอดส่องทางดิจิทัลในแทบทุกด้านของชีวิตได้เลย และระบบ AI อาจทำให้ปัญหานี้ยิ่งรุนแรงขึ้นกว่าเดิมอีก”

Photo Credit: https://unsplash.com/photos/phone-screen-asks-what-can-i-help-with-yWyBU5v3FLI
ทางรอดเดียวคือการใช้ AI อย่างมีสติ
คัลลี ชโรเดอร์ (Calli Schroeder) หัวหน้าโครงการ AI and Human Rights ที่ Electronic Privacy Information Center กล่าวว่า แม้ว่าคุณจะร้องขอให้มันลบข้อมูลของคุณ ก็มีโอกาสสูงที่ข้อมูลเหล่านั้นจะถูกนำไปพัฒนาและประมวลผลเพื่อการเรียนรู้ของโมเดล “เนื่องจากวิธีการสร้างระบบเหล่านี้ คุณไม่สามารถลบข้อมูลชิ้นใดชิ้นหนึ่งออกไปได้ เมื่อมันได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชุดข้อมูลสำหรับการฝึกโมเดลแล้ว”
เมื่อปัญญาประดิษฐ์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเรามากขึ้น ประเด็นสำคัญไม่ใช่แค่ว่า มันทำงานได้ดีหรือไม่ แต่คือเรามีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจหรือไม่ ว่าอยากให้มันเข้ามาในชีวิตเรามากแค่ไหน ดังที่นักวิชาการด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์หลายคนชี้ว่า เสรีภาพในการเลือกหรือการปฏิเสธที่จะใช้ (opt out) คือสิ่งจำเป็นในการปกป้องความเป็นอิสระของเราในยุคดิจิทัล ซึ่งปัจจุบัน Generative AI ส่วนใหญ่ สามารถกดปฏิเสธให้ระบบนำข้อมูลของเราไปใช้ฝึกฝนโมเดลทางภาษาได้
อย่างไรก็ตาม ไรอัน คาโล (Ryan Calo) อาจารย์ด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยวอร์ชิงตันกล่าวว่า ผู้ใช้ ChatGPT ควรระมัดระวังเกี่ยวกับ “ข้อมูลละเอียดอ่อน” ที่พวกเขาแชร์ เพราะแม้ข้อมูลจะถูกเก็บไว้อย่างมหาศาลและมีระบบป้องกันที่แข็งแรง แต่ก็ยังเสี่ยงต่อการถูกโจมตีทางไซเบอร์ หรือคำขอจากเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย ซึ่งในประเด็นหลังนี้ก็ได้รับการยืนยันจาก CEO ของ OpenAI ที่กล่าวยอมรับในพอดแคสต์ This Past Weekend เมื่อเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมาว่า “ถ้าคุณไปพูดคุยกับ ChatGPT เกี่ยวกับข้อมูลที่ละเอียดอ่อนที่สุดของคุณ แล้วเกิดมีคดีความหรืออะไรบางอย่างขึ้น เราอาจถูกบังคับให้ ต้องส่งข้อมูลเหล่านั้นออกไป”
ดังนั้น ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ได้แนะนำแนวทางการใช้งานอย่างง่ายนั่นคือ จงปฏิบัติต่อ ChatGPT ราวกับเป็นฟอรัมสาธารณะ
- อย่าป้อนข้อมูลที่ไม่อยากให้สาธารณะรับรู้
- อย่าใส่ข้อมูลที่อ่อนไหว เช่น เลขบัตร, บัญชีธนาคาร, ข้อมูลสุขภาพที่เฉพาะเจาะจง
- ระลึกไว้เสมอว่า ข้อมูลที่ถูกป้อนเข้าไป “ไม่ใช่ของเราอีกต่อไป”
ในยุคที่ AI กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต สิ่งสำคัญไม่ใช่แค่ว่า “มันทำงานได้ดีเพียงใด” แต่คือเรามีสิทธิ์ควบคุมสิ่งที่เราแชร์ได้มากแค่ไหน
ที่มา: ข้อมูล “Chat and File Retention Policies in ChatGPT” จาก help.openai.com
บทความ “How we’re responding to The New York Times’ data demands in order to protect user privacy” จาก openai.com
บทความ “Should you delete your ChatGPT history? Why you might not have a choice.” โดย Nicole Fallert
บทความ “Sam Altman says ChatGPT has hit 800M weekly active users” โดย Rebecca Bellan
บทความ “Privacy in an AI Era: How Do We Protect Our Personal Information?” จาก hai.stanford.edu
บทความ “Avoiding AI is hard – but our freedom to opt out must be protected” โดย James Jin Kang
เรื่อง: คณิศร สันติไชยกุล
TAGS: #Creative Economy Update