Research & Report

โมดี หนุน India’s Orange Economy สู่ผู้นำเศรษฐกิจสร้างสรรค์โลก

ท่ามกลางกระแสเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน อินเดียกำลังถูกจับตามองมากกว่าที่เคย ด้วยประชากรกว่า 1.46 พันล้านคน ทำให้อินเดียไม่ใช่แค่ประเทศที่มีคนมากที่สุดในโลก แต่ยังกลายเป็นหนึ่งในมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่กำลังไต่ขึ้นอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันอินเดียครองตำแหน่งเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 5 ของโลก และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่าอินเดียอาจก้าวขึ้นสู่ลำดับ 3 ได้ภายในปี 2028 เป้าหมายระยะยาวที่รัฐบาลวางไว้ คือการก้าวสู่สถานะ “ประเทศพัฒนาแล้ว” ภายในปี 2047 ซึ่งเป็นวาระครบรอบ 100 ปีแห่งเอกราช

การเติบโตนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะโชคช่วย หากแต่เป็นผลจากการขับเคลื่อนของรัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี (Narendra Modi) ที่เลือกลงทุนครั้งใหญ่ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ตลอด 10 ปีที่ผ่านมาอินเดียทุ่มงบกว่า 1.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อสร้างถนน รถไฟ สนามบิน และท่าเรือ เปลี่ยนภูมิทัศน์ของประเทศและเชื่อมโยงตลาดภายในให้แข็งแรง ขณะเดียวกัน ภาคเอกชนก็เริ่มกลับมาลงทุนด้วยความมั่นใจ โดยหันมาใช้ทุนในรูปแบบหุ้นมากกว่าพึ่งพาหนี้ ส่งผลให้ SMEs มีฐานะทางการเงินที่มั่นคงกว่าเดิม

แต่เส้นทางนี้ก็ไม่ราบรื่นเสมอไป ตัวเลขการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) เริ่มส่งสัญญาณลดลง ทำให้รัฐบาลเผชิญโจทย์ใหญ่ในการสร้างกติกาใหม่ เพื่อดึงดูดเงินทุนและเทคโนโลยีจากทั่วโลก อย่างไรก็ตาม อีกด้านหนึ่งภาคการผลิตกลับแสดงพลังการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน มูลค่าการส่งออกของอินเดียเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นตลอดทศวรรษที่ผ่านมา จาก 468,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีงบประมาณ 2013-2014 เป็น 825,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024-2025 หรือเติบโตกว่า 76% โดยมี 3 อุตสาหกรรมหลักเป็นหัวหอก ได้แก่ สินค้าเครื่องจักรกลและวิศวกรรม อิเล็กทรอนิกส์ และยา-เวชภัณฑ์ ขณะเดียวกันสถาบัน McKinsey Global Institute ยังได้ชี้ให้เห็น “18 สนามการแข่งขันใหม่” ที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนการเติบโตในอนาคต ตั้งแต่ยานยนต์ไฟฟ้า ปัญญาประดิษฐ์ อีคอมเมิร์ซ และเซมิคอนดักเตอร์ ไปจนถึงการบินสมัยใหม่และพลังงานนิวเคลียร์

สิ่งที่ทำให้อินเดียโดดเด่นกว่าประเทศอื่น ๆ ในกลุ่มเศรษฐกิจขนาดใกล้เคียงกัน คือ “คน” อินเดียมีทรัพยากรบุคคลจำนวนมหาศาลและเต็มไปด้วยคุณภาพ ทุกปีอินเดียผลิตบัณฑิตสายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้มากกว่าสหรัฐอเมริกาถึง 5 เท่า และยังมีบุคลากรด้านปัญญาประดิษฐ์คิดเป็นสัดส่วนถึง 16% ของโลก จนได้รับการขนานนามว่าเป็น “โรงงานผลิตคนเก่ง” ของโลก การสร้างระบบการศึกษาและการพัฒนาทักษะให้สอดรับกับเศรษฐกิจดิจิทัล จึงกลายเป็นหัวใจสำคัญของนโยบายใหม่ที่รัฐบาลกำลังผลักดัน

นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ที่งาน WAVES 2025 ในเดือนกรกฎาคม ปี 2025 เขากล่าวว่าพร้อมมุ่งขับเคลื่อน Orange Economy หรือเศรษฐกิจสร้างสรรค์อย่างจริงจัง เพื่อผลักดันให้มูลค่าของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของอินเดีย ขยายตัวแตะ 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในอีก 10 ปีข้างหน้า
Photo Credit: https://ddnews.gov.in/en/waves-2025-indias-creative-economy-sets-the-stage-for-a-trillion-dollar-global-impact

อีกหนึ่งนโยบายที่ทำให้อินเดียแตกต่างและถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางในปีนี้ คือการประกาศของนายกรัฐมนตรีโมดี บนเวที World Audio Visual and Entertainment Summit (WAVES 2025) ที่มุมไบ “Dawn of India’s Orange Economy” ในเดือนกรกฎาคม Orange Economy ในนิยามของโมดีหมายถึงเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เขาย้ำว่าอินเดียไม่ใช่แค่บ้านของผู้คนหลายพันล้านคน แต่ยังเป็นดินแดนของเรื่องเล่าและผู้เล่าเรื่องนับไม่ถ้วน เรื่องราวเหล่านี้สะท้อนผ่านศิลปะ ดนตรี และภาพยนตร์ ซึ่งกำลังกลายเป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ

ปัจจุบันเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของอินเดียมีมูลค่ามากกว่า 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และสร้างงานให้แรงงานเกือบ 8% ของประเทศ ภาคส่วนที่โดดเด่นครอบคลุมทั้งภาพยนตร์ ดนตรี เกม เนื้อหาดิจิทัล และการแสดงสด อุตสาหกรรมบันเทิงเพียงอย่างเดียวมีมูลค่าราว 28,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะขยายตัวแตะ 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในอีก 10 ปี อินเดียยังได้เปรียบด้านต้นทุนการผลิตแอนิเมชันและ VFX (Visual Effects) ที่ต่ำกว่าตลาดโลกถึงครึ่งหนึ่ง ทำให้ถูกจับตามองว่าเป็นจุดหมายใหม่ของการผลิตคอนเทนต์ระดับโลก เมื่อบวกเข้ากับจำนวนผู้ใช้สมาร์ทโฟนเกือบหนึ่งพันล้านเครื่อง และผู้ใช้อินเทอร์เน็ตกว่า 900 ล้านคน ยิ่งเปิดทางให้ผู้สร้างจากทุกภูมิภาคของประเทศ สามารถส่งเสียงของตนเองไปสู่ผู้ชมในตลาดโลกได้ง่ายขึ้น

รัฐบาลอินเดียได้ตั้งกองทุนมูลค่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อให้การเติบโตเป็นไปอย่างยั่งยืน และผลักดันอุตสาหกรรมสร้างสรรค์โดยตรง ควบคู่ไปกับการสร้างระบบสนับสนุนใหม่ ๆ เช่น National Creative Cloud Platform ที่เปิดโอกาสให้สตูดิโอและสตาร์ทอัปเข้าถึงซอฟต์แวร์และทรัพยากรในราคาที่เอื้อมถึงได้ การจัดตั้ง Creative Industry Clusters ในเมืองใหญ่ เพื่อเชื่อมโยงอุตสาหกรรมเข้ากับสถาบันการศึกษา และการตั้งเป้าผลิตบุคลากรสายสร้างสรรค์ปีละ 60,000 คน ทั้งหมดนี้สะท้อนความพยายามที่จะยกระดับอินเดียจากผู้ตาม สู่การเป็นผู้นำในเศรษฐกิจสร้างสรรค์ระดับโลก

เรื่องราวของอินเดียในวันนี้จึงไม่ใช่แค่การเติบโตด้วยตัวเลขทางเศรษฐกิจ หากแต่เป็นการผสานกันระหว่างพลังของเศรษฐกิจมหภาค วัฒนธรรม และเทคโนโลยี โลกกำลังโหยหาบทใหม่ และอินเดียก็กำลังยืนอยู่บนเวที พร้อมเล่าเรื่องราวของตนเองให้ดังไปทั่วโลก