Research & Report

หมัดภาษีจากทรัมป์ สะเทือนไปถึง เศรษฐกิจสร้างสรรค์โลก

แนวโน้มเศรษฐกิจโลกกำลังเข้าสู่ช่วงสั่นคลอนอีกครั้ง หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศใช้นโยบายภาษีนำเข้าฉบับใหม่ โดยกำหนดอัตราขั้นต่ำที่ 10% สำหรับสินค้าจากทุกประเทศที่มีดุลการค้าเกินดุลกับสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย โดยไทยจะถูกเก็บภาษีในอัตราสูงถึง 36% ภายใต้นโยบายที่มุ่งหวังจะฟื้นฟูภาคการผลิตภายในประเทศ และลดการพึ่งพาสินค้านำเข้าจากต่างชาติ ทว่าผลสะเทือนของมาตรการนี้กลับแผ่ขยายไปไกลกว่าที่หลายฝ่ายคาดคิด โดยเฉพาะเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นในวงการโฆษณา แฟชั่น หรือศิลปะ ต่างเริ่มสัมผัสได้ถึงแรงกระเพื่อมของมาตรการนี้อย่างชัดเจน

หนึ่งในภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบก่อนใครคือวงการโฆษณา เพราะเมื่อภาษีนำเข้าพุ่งสูงขึ้น ราคาสินค้าก็ขยับตามแบบเลี่ยงไม่ได้ ส่งผลโดยตรงต่อพฤติกรรมผู้บริโภคที่เริ่มรัดเข็มขัด และใช้จ่ายอย่างระมัดระวังมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่า สิ่งแรกที่มักถูกตัดออกจากแผนของบริษัท ก็คืองบสื่อสารการตลาด ไม่ว่าจะเป็นค่าโฆษณา การประชาสัมพันธ์ หรือการสร้างแบรนด์ นักการตลาดจึงต้องรีเซ็ตวิธีคิดใหม่ จากที่เคยมุ่งเน้นยอดขายหรือโปรโมชัน ต้องหันมาให้ความสำคัญกับ “ความหมายของแบรนด์” และ “ความเชื่อมโยงทางอารมณ์” กับผู้บริโภคให้มากขึ้น เพราะในยุคที่ทุกการใช้จ่ายถูกชั่งน้ำหนักด้วยความรู้สึกและเหตุผล แบรนด์ที่สร้างความไว้วางใจและสะท้อนคุณค่าได้เท่านั้น ที่จะยืนอยู่ในใจผู้บริโภคได้อย่างยั่งยืน

ภาพ: statista.com/chart/34229/additional-reciprocal-tariffs

ด้านอุตสาหกรรมแฟชั่น โดยเฉพาะในกลุ่มแฟชั่นหรูที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ อย่างมาก ก็เริ่มเผชิญแรงต้านจากภาษีนำเข้าอย่างเลี่ยงไม่ได้ แม้แบรนด์หรูจะมีความสามารถในการผลักภาระต้นทุนไปยังผู้บริโภค และกลุ่มลูกค้าก็ยังเป็นคนที่มีกำลังซื้อสูง แต่ความท้าทายไม่ได้อยู่แค่ที่ตัวเลขต้นทุน หากแต่อยู่ที่ความรู้สึกของผู้ซื้อ เพราะช่วงหลังผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยเริ่มรู้สึกอิ่มตัวกับราคาที่สูงเกินจริง ปรากฏการณ์ที่ถูกเรียกว่า “Greedflation” หรือการขึ้นราคาโดยไม่สะท้อนต้นทุนจริง กลายเป็นแรงสะท้อนกลับที่ทำให้ผู้บริโภคเริ่มลังเลต่อการจับจ่ายสินค้าหรู และเมื่อรวมกับภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน ก็ยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้กับแบรนด์ที่กำลังขยายฐานในเมืองรองของอเมริกาให้ต้องชะลอแผนหรือทบทวนกลยุทธ์ใหม่ทั้งหมด

ขณะเดียวกัน ตลาดศิลปะที่มักพึ่งพาการค้าระหว่างประเทศอย่างสูง ทั้งในแง่การซื้อขาย การขนส่ง และการจัดแสดงในเวทีระดับโลก ก็กำลังเผชิญแรงสะเทือนอย่างหนักจากความไม่แน่นอนของภาษีศุลกากรที่อาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา แกลเลอรีและนักสะสมจากแคนาดา เม็กซิโก หรือจีน ต่างต้องชะลอหรือปรับแผนการจัดส่งงานศิลป์เข้าสหรัฐฯ เพราะไม่สามารถคาดการณ์ต้นทุนที่แท้จริงได้ อีกทั้งต้นทุนแฝงอย่างค่าบรรจุภัณฑ์ ไม้ หรือวัสดุติดตั้งงานศิลป์ก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ทำให้ศิลปินและผู้ประกอบการในวงการนี้ต้องเร่งหาทางปรับตัวเพื่อไม่ให้ต้นทุนฉุดโอกาสทางศิลปะและรายได้

ภาพ: businessoffashion.com/articles/luxury/luxury-industry-trump-tariffs-impact

ในมุมของไทย ผลกระทบจากนโยบายนี้ก็น่าจับตามองอย่างใกล้ชิด เพราะในปี 2024 ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีการส่งออกสินค้าสร้างสรรค์ไปยังสหรัฐฯ ด้วยมูลค่ารวมหลักหมื่นล้านบาท โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าหลักอย่างอัญมณี เครื่องหนัง และเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งถือเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มจะถูกกระทบจากภาษีนำเข้าโดยตรง ไม่เพียงแต่มีบทบาทด้านเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นสินค้าที่สะท้อนรากวัฒนธรรมไทยในตลาดโลก หากสหรัฐฯ ขึ้นภาษีในกลุ่มนี้อย่างจริงจัง ผู้ผลิตไทยอาจต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้น การแข่งขันที่ยากขึ้น และอาจเสียพื้นที่ตลาดให้กับประเทศอื่นที่มีข้อได้เปรียบด้านภาษี

ในยุคที่ความไม่แน่นอนกลายเป็นเรื่องปกติ ผู้ประกอบการทั่วโลกไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ต่างต้องเร่งปรับตัวอย่างสร้างสรรค์ ความสามารถในการอ่านเกมเศรษฐกิจ และออกแบบกลยุทธ์ที่ยืดหยุ่นอาจเป็นสิ่งที่แยก “ผู้รอด” ออกจาก “ผู้หลุดจากตลาด” ไปอย่างถาวร เพราะในสนามที่กติกาเปลี่ยนเร็วแบบนี้ ไม่มีใครได้เปรียบถ้าไม่พร้อมเปลี่ยนตาม

ที่มาข้อมูล

campaignasia.com/article/marketers-will-need-to-be-flexible-what-trumps-tariff-war-means-to-the-advert/501758
businessoffashion.com/articles/luxury/luxury-industry-trump-tariffs-impact
variety.com/2025/biz/news/trump-tariffs-hollywood-impact-1236359098
artsy.net/article/artsy-editorial-art-collectors-trumps-tariffs